ด้วยความก้าวหน้าของโลกดิจิตอลทำให้ผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรก้าวเข้าสู่การเป็น smart farmer หรือเกษตรกรอัจฉริยะด้วยการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยให้ชีวิตแบบเกษตร 4.0 ง่ายขึ้นและผันตัวจากการเป็นผู้ผลิต มาเป็นผู้ผลิตพร้อมทั้งแปรรูปและจัดจำหน่ายกลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัว เพราะในปัจจุบันเกษตรกรสามารถค้าขายผ่านระบบออนไลน์บนเครื่องโทรศัพท์มือถือได้อย่างสะดวกสบายเชื่อมโยงให้เกิดการสั่งซื้อผ่าน Application ต่าง ๆ การรับโอนเงินผ่านระบบออนไลน์แบงก์กิ้งและการส่งของด้วยบริษัทเอกชนที่รวดเร็ว ซึ่งทำให้ตัดเรื่องการสูญเสียผลกำไรบางส่วนให้แก่พ่อค้าคนกลางขอเพียงแค่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทุกอย่างก็ง่ายดายขึ้น แนวทางที่เกษตรกรสามารถนำมาใช้ได้ในทันทีคือการถ่ายรูปสินค้าการเกษตรของงตนเอง เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวแล้วนำไปเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อยืนยันการมีตัวตนของเราและหาเวลาโพสต์ความเคลื่อนไหวเป็นระยะ ขณะเดียวกันควรถ่ายรูปผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปลงทะเบียนเปิดร้านในแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่เราไม่ต้องเสียเงินค่าสมัครใด ๆ ทั้งสิ้นแค่นี้ก็จะทำให้เรามีร้านค้าออนไลน์เป็นของตนเอง และสามารถขายผลผลิตของเราไปยังลูกค้าโดยตรงได้ และนี่คืออีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้เกษตรกรเกิดรายได้ การมุ่งเป้าไปที่ความยั่งยืนของการประกอบอาชีพเกษตรกร โดยให้ความสำคัญกับการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรกรรม ในการเพิ่มผลผลิต เพื่อทำกำไรสูงขึ้นโดยเน้นว่าจะต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย จึงเท่ากับว่าการทำเกษตรสมัยใหม่จะเกิดผลกระทบเชิงบวกแก่ระบบเศรษฐกิจและระบบนิเวศวิทยาไปพร้อมกัน แนวคิดนี้กลายเป็นแนวคิดที่หลายประเทศนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายด้านการเกษตร โดยหากทุกประเทศสามารถพลิกให้เกษตรกรทั้งโลกผันตัวเองเป็น smart farmer ได้ เราทั้งโลกจะหมดความกังวลเรื่องความมั่นคงด้านอาหารไปได้ทันที การเกษตรยุค 4.0 คืออะไร 1.0 ยุคเกษตรกรรม ประชาชนเน้นทำการเกษตรเป็นหลัก เกษตร 4.0 เป็นการเปลี่ยนการเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ ที่เน้นการบริหารจัดการ และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ยุทธศาสตร์ของเกษตร 4.0 ขายของออนไลน์ การขายของออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) เป็นการดำเนินการซื้อขายสินค้าและบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็วลดต้นทุนและกระบวนการดำเนินงานให้น้อยลง แถมยังเพิ่มประสิทธิภาพการขายสินค้าได้อย่างทั่วถึงสามารถซื้อขายได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมมาก จนวันนี้ ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2020 มีมูลค่าเติบโตสูงถึงกว่า 2 แสนล้านบาท Smart Agriculture หรือ Smart Farm คือ การเกษตรแบบใหม่ที่เปลี่ยนวิธีการดำเนินงานแบบเก่ามาใช้ข้อมูล (Data) และเทคโนโลยีในการบริหารงานเกษตร เพื่อค้นหาวิถีการทำงานให้เหมาะสมและสร้างผลผลิตทางการเกษตรที่ยั่งยืนลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เพิ่มกำไรให้มากยิ่งขึ้น สมาร์ทฟาร์ม เป็นรูปแบบการทำเกษตร ที่เน้นการพัฒนาเกษตรกรรม 4 ด้าน คือ หัวใจสำคัญของการทำ Smart Farm - ข้อมูล เป็นพื้นฐานในการทำการเกษตรโดย Smart Farm ต้องพึ่งพาข้อมูลในการวิเคราะห์ หาแนวทางที่ดีที่สุดในการทำงาน รวมถึงคาดการณ์ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หากมีข้อมูลมากเพียงพอก็จะสามารถลดปัญหาและนำไปสู่การพัฒนาผลผลิตให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ข้อมูล คือค่าของตัวแปรในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ ที่อยู่ในความควบคุมของกลุ่มของสิ่งต่าง ๆ ข้อมูลในเรื่องการคอมพิวเตอร์ (หรือการประมวลผลข้อมูล) จะแสดงแทนด้วยโครงสร้างอย่างหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นโครงสร้างตาราง (แทนด้วยแถวและหลัก) โครงสร้างต้นไม้ (กลุ่มของจุดต่อที่มีความสัมพันธ์แบบพ่อลูก) หรือโครงสร้างกราฟ (กลุ่มของจุดต่อที่เชื่อมระหว่างกัน) ข้อมูลโดยปกติเป็นผลจากการวัดและสามารถทำให้เห็นได้โดยใช้กราฟหรือรูปภาพ ข้อมูลในฐานะมโนทัศน์นามธรรมอันหนึ่ง อาจมองได้ว่าเป็นระดับต่ำที่สุดของภาวะนามธรรมที่สืบทอดเป็นสารสนเทศและความรู้ ข้อมูลดิบหรือข้อมูลที่ยังไม่ประมวลผล เป็นศัพท์อีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้อง หมายถึงการรวบรวมจำนวนและอักขระต่าง ๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามปกติในการประมวลผลข้อมูลเป็นระยะ และ ข้อมูลที่ประมวลผลแล้วจากระยะหนึ่งอาจถือว่าเป็น ข้อมูลดิบของระยะถัดไปก็ได้ ข้อมูลสนามหมายถึงข้อมูลดิบที่รวบรวมมาจากสภาพแวดล้อม ณ แหล่งกำเนิดที่ไม่อยู่ในการควบคุม ข้อมูลเชิงทดลองหมายถึงข้อมูลที่สร้างขึ้นภายในสภาพแวดล้อมของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์โดยการสังเกตและการบันทึก - เทคโนโลยี เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ผลผลิตทางการเกษตรแม่นยำมากขึ้น ผ่านการนำเทคโนโลยีมาวิเคราะห์ปัจจัยทางการผลิต ทั้งสภาพอากาศและค่าดินนอกจากนี้เทคโนโลยียังช่วยลดขั้นตอนและลดต้นทุนการใช้แรงงานในการทำการเกษตร เทคโนโลยี หรือ เทคนอลอจี เป็นการผสมผสานเทคนิก ทักษะ วิธีการ และกระบวนการเพื่อผลิตสินค้าหรือบริการ หรือเพื่อบรรวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่11 (พ.ศ. 2555 –2559) ได้บรรจุ “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” เป็นส่วนหนึ่งของ แผนพัฒนาการเกษตร ซึ่งดำเนินงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติเศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. 2522 โดยแผนดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เมื่อ 26 กันยายน 2554 ตัวอย่างการทำ Smart Agriculture ในไทย กรณีศึกษา Deva Farm Deva Farm เป็นหนึ่งในข้อพิสูจน์ที่ทำให้เห็นว่า Smart Agriculture สามารถเกิดขึ้นจริงได้ในประเทศไทย โดยฟาร์มนี้ปลูกพืชเมืองหนาวอย่าง ฮอป (Hop) ด้วยการเพาะปลูกแบบโรงเรือนที่ออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีแทบทั้งหมด และเป็นการทำเกษตรโดยแทบไม่ต้องใช้คนในการเพาะปลูก ตัวอย่างระบบการทำงานภายใน Deva Farm ที่มา : https://www.baanlaesuan.com/59796/design/design-update/places/deva-farm
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงด้วยทศพิธราชธรรม นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงเป็นพระราชาที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และการทำงานแก่พสกนิกรของพระองค์ พระอัจฉริยภาพของพระองค์เป็นที่ต่างประจักษ์ต่อผู้คนและนานาประเทศอีกด้วย ซึ่งแนวคิดหรือหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีความน่าสนใจที่สมควรนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตการทำงาน หลักการทรงงานของพระองค์สามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ดังนี้ เศรษฐกิจพอเพียงความหมายกว้างกว่าทฤษฎีใหม่ โดยที่เศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบแนวคิดที่ชี้บอกหลักการ และแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ ในขณะที่แนวพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาการเกษตรอย่างเป็นขั้นตอนนั้น หลังจากที่เกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนเองจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สองคือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการในด้าน ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สามเมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้วเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือ ติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาแหล่งทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษัท ห้างร้านเอกชนมาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคารหรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ ปัจจุบันคนไทยทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว ซึ่งหมายถึง ปลูกข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ไม้ผล ฯลฯ โดยปลูกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงชนิดเดียว แล้วขายเอาเงินไปซื้ออาหารรับประทาน ซึ่งการดำรงชีพของเกษตรกรไทยยึดการอยู่รอดมิให้อดอยากไม่ได้ยึดเงินเป็นหลัก แต่หมายถึง แต่ละวันให้ดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เงินออกจากกระเป๋าก็อยู่ได้อย่างสบาย ต่างจากสมัยบรรพกาลซึ่งแต่ละครอบครัวทำการเกษตรครบวงจร ทำให้มีอาหารให้ครบรอบเพื่อการดำรงชีพได้ครบ 12 เดือน จึงมีการปลูกพืชที่มีนาข้าวเป็นหลัก พืชไร่ พืชผัก ไม้ผล เลี้ยงปลาไว้ที่บ่อ เลี้ยงเป็ด ไก่ สุกร โค กระบือ ฯลฯ เป็นการเกษตรที่ครบวงจร หมายถึง อาหารโค กระบือ ได้หญ้าในไร่นา ได้ฟางหลังเก็บเกี่ยวข้าว เมื่อต้องการใช้เงินจึงเอาผลผลิตจากการเพาะปลูกไปขายซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันมาก เพราะปลูกพืชเพียงชนิดเดียวที่บริโภคไม่ได้ การทำการเกษตรมีอยู่ 2 อย่างคือการทำการเกษตรอินทรีย์ และเกษตรเคมี การทำเกษตรอินทรีย์ คือการนำมูลสัตว์ไปโปรยหว่านเตรียมดินในพื้นที่เพาะปลูกแล้วจึงปลูกพืช ให้จุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติเข้ามาย่อยสลาย การทำเกษตรอินทรีย์เป็นการปรับปรุงบำรุงดินเพื่อไม่ให้ดินเสื่อมเสียสมดุล เพราะภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมได้ทำการเพาะปลูกด้วยการใช้มูลสัตว์หรือเอาซากพืชที่เหลือใช้จากการเพาะปลูกทำปุ๋ยหมักมาใช้ให้เกิดประโยชน์ มิได้เผาทิ้งอย่างไร้ค่า เศษฟางใบไม้ถ้าดูผิวเผินอาจมองว่าเป็นสิ่งไร้ค่า แต่คนโบราณจะให้ความสำคัญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือใช้จากการเพาะปลูกเหล่านี้มาก หลังจากเก็บเกี่ยวจะมีฟางเก็บสะสมเอาไว้เลี้ยงโคกระบือ แล้วเอามูลโคกระบือไปปรับปรุงบำรุงดิน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการทำเกษตรสำหรับการเพาะปลูกและทำปศุสัตว์ไปด้วย รายได้จึงเกิดอย่างต่อเนื่องจากการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ได้รับประโยชน์ทั้งสองทาง 1. ให้มีรายได้จากการเกษตรตลอดปี เหมือนข้าราชการต้องรับเงินเดือนทุกเดือน จะต้องวางแผนปลูกไม้ผลหลาย ๆ ชนิดเพราะไม้ผลให้ผลผลิตออกมาไม่ตรงกันแต่มีตลอดปี เช่น มะขาม - ส้มให้ผลผลิตเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์, มะม่วง ให้ผลผลิตเดือนมีนาคม - เมษายน ลิ้นจี่ให้ผลผลิตเดือนพฤษภาคม น้อยหน่า เงาะ ทุเรียนให้ผลผลิตเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ลำไยให้ผลผลิตเดือนสิงหาคม ลองกอง ลางสาด
|